แชร์

Top 10 Bucket List Roads วิวดี กิจกรรมเลิศ จากรอบโลก

พี่ตีนโต พี่ตีนโต
อัพเดทล่าสุด: 1 ธ.ค. 2025
58 ผู้เข้าชม




ภาพ Pacific Coast Highway (Photo by Mike McBey, Wikimedia Commons, CC BY 2.0)

10.Pacific Coast Highway | California State Route 1 (USA)(ตัวย่อ PCH หรือ SR 1 ฮะ)



เส้นทางโรดทริปเรียบชายฝั่งสุดสวยขึ้นชื่อของอเมริกา รวมระยะทางกว่า 1,056 กิโลเมตร ตั้งแต่เมือง Dana Point (ใกล้ลอสแอนเจลิส) ไปจนถึงเมือง Leggett (ทางเหนือซานฟรานซิสโก) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย


PCH เริ่มสร้างในปี 1919...เปิดใช้งานบางส่วนในช่วง 1930...จนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของ American Road Trip ที่ทั้งประเทศยอมรับฮะ แต่กว่าจะเสร็จเชื่อมกันแบบสมบูรณ์จริงๆ ก็คือปี 1951 นู่นเลยหล่ะ


ทำไมถึงดังกันนะ? ต้องบอกว่าระหว่างเส้นทางกว่า 656 ไมล์ ที่วิ่งเลียบชายฝั่งแปซิฟิกเกือบทั้งเส้น ผ่านหน้าผา ทะเล ทุ่งหญ้า เมืองชายฝั่ง แต่ไฮไลต์ที่สุดที่เค้ายกกันให้ ก็คือ Big Sur ที่มีเจ้าสะพานโค้ง Bixby Creek Bridge เป็นภาพจำของเส้น PCH ก็ว่าได้ฮะ


Big Sur นอกจากจะเป็นชื่อเรียกระบบปฏิบัติการ macOS แล้ว (ที่เดาว่าต้องมาจากตำนานของถนนนี้แน่ๆ55) *เพราะมีอีกคำเรียกว่าเป็น หัวใจของ PCH ฮะ (ติดอันดับถนนสวยในโลก no.1-3 ทุกปีเป็นประจำ) Apple เลยเอามาเปรียบเปรยเป็นหัวใจของระบบปฏิบัติการแหงม ๆ


ว่าไปนั่นนะ กลับมาๆ...คือการตั้งชื่อให้แนวชายฝั่งที่ยาวประมาณ 90 ไมล์ กับช่วงระยะนี้ จะมีจุดถ่ายรูปยอดฮิตบิ๊กเบิ้มคือ


- Bixby Creek Bridge 

สะพานโค้งบนหน้าผาเหนือทะเล *อยู่ในฉากหนัง และ ซีรีย์ ดังหลายเรื่องด้วยนะ! เช่น Big Little Lies, La La Land, Vertigo และ Basic Instinct

- McWay Falls 

น้ำตกสูง 24 เมตร ที่ไหลลงทะเลโดยตรง

- Pfeiffer Beach 

หาดทรายสีม่วง

- Point Sur Lighthouse 

ประภาคารบนหน้าผาสูง 82 เมตร

- Nepenthe 

ร้านอาหารบนหน้าผา ที่วิวทะเลสวยงามระดับโลก!


ทั้งนี้ทั้งนั้นน กับเส้นทางอันยาวเหยียดนี้ แน่นอนว่ามีอีกหลายจุดแวะงามหยดมากมายนอกจาก Big Sur เลยจะขอสรุปแบบรวบรัด (แล้วหรอ55) ในไฮไลต์ที่เหลือใหญ่ ๆ มาให้ในมุมมอง และ source ที่เค้าตกผลึกกันออกมาฮะ


10.1.ช่วง Central Coast Attractions


- Hearst Castle

คฤหาสน์หรูหราอลังการบนเนินเขา ที่เคยเป็นของ William Randolph Hearst มหาเศรษฐีด้านสื่อ (Ex.San Francisco Examiner, New York Journal เป็นต้น จริงๆอีกมากมาย 20-30 แบรนด์หนังสือพิมพ์ / นิตยสาร เลยหล่ะ) *แต่หลัง Hearst เสียชีวิตในปี 1951 ได้มอบปราสาทให้กับรัฐแคลิฟอร์เนียเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แทนฮะ

- Piedras Blancas Elephant Seal Rookery

จุดชมแมวน้ำช้างนับร้อยตัวที่มักจะมานอนอาบแดดบนชายหาด


10.2.ช่วง Northern & Southern Stops


- Monterey & Carmel-by-the-Sea

มี Monterey Bay Aquarium ชื่อดังฮะ

- Santa Monica Pier

ท่าเรือที่มีชิงช้าสวรรค์เป็นเอกลักษณ์ และเป็นจุดสิ้นสุด (แบบ unofficial ของอีกเส้นทางตำนานอย่าง Route 66 )

- Glass Beach
หาดที่มีเศษแก้วจากขยะเก่าถูกคลื่นซัดมาเกยฝั่ง ระยิบระยับสวยงาม กลายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิตอีกหนึ่งจุด (ถึงจะเป็นขยะก็ตามหล่ะนะ55)



ต้องบอกว่ารูทช่วง Monterey - Santa Cruz - San Francisco มีวิวทะเลสลับเมืองกลมกล่อม จบด้วยสะพาน Golden Gate Bridge สัญลักษณ์แห่งแดนลุงแซมแบบ happy ending memories พอดิบพอดีฮับ...ปล.เค้าแนะนำกันว่าระหว่างนั่งรถเที่ยวเส้นทางนี้ ให้เราเปิดเพลง California Dreamin แล้วขับไปเรื่อย ๆ...มันคือ soundtrack ของถนนสายนี้จริงๆเลยหล่ะ!


อ้างอิง:

https://www.routemagazine.us/stories/americas-scenic-drive

https://www.justtravelingthru.com/2021_coastal_highway_drive.php

https://xdaysiny.com/tips-for-driving-the-pacific-coast-highway/

https://wakatravels.com/2025/05/17/road-tripping-along-the-pacific-coast/





ภาพ Chapmans Peak Drive (Photo by Glany Saldanha, Wikimedia Commons, CC BY 3.0)

9.Chapmans Peak Drive (South Africa)



อีกหนึ่งเส้นทางขับรถชมวิวเลียบหน้าผาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในท็อปของรุ่น อยู่ในคาบสมุทร Cape Peninsula, เมือง Cape Town, ประเทศแอฟริกาใต้ (*Chapmans Peak คือชื่อของภูเขาฮะ)


ระยะทางรวมเพียง 9 กม. กับระยะเวลาในการสร้าง 7 ปี (1915-1922) ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในความภูมิใจ และ ผลงานวิศวกรรมระดับประวัติศาสตร์ของแอฟริกาใต้กันเลยฮะ เพราะต้องระเบิดหิน ภูเขา สร้างเส้นทางคดเคี้ยวกันถึง 114 โค้ง (หรือประมาณ 80 โค้ง ตามแหล่งข้อมูลบางแห่งฮะ) ปัจจุบันถนนนี้ ถูกใช้เป็นฉากถ่ายโฆษณารถหรูหลายแบรนด์ (Ex.Porsche) และมีกิจกรรมแข่งกีฬาระดับประเทศอย่าง Cape Argus Cycle Race (จักรยาน) และ Two Oceans Marathon (วิ่งมาราธอนฮับ)


Chappies (*ชื่อเล่นของ Chapmans Peak Drive ที่ชาวท้องถิ่นเรียกกัน) มีจุดแวะไฮไลต์ที่เที่ยวได้ 1-2 วันพอดี ๆ ฮะ อย่าง...


- Hout Bay

อ่าวสวยงามและท่าเรือประมง มีร้านอาหารทะเลสด ๆ + ซีฟู้ดขึ้นชื่อคือ กุ้งเครย์ฟิช (Crayfish) และ ฟิชแอนด์ชิปส์ (Fish and Chips)

- The Sentinel

เขาสูง 331 เมตร ฉากหลังอันงดงาม ตรงข้ามอ่าว Hout Bay ที่มองเห็นได้ชัดเจนจากถนน Chapmans Peak Drive แถมหน้าผาของ The Sentinel ยังเป็น 1 ในจุดเล่นเซิร์ฟคลื่นยักษ์ในชื่อ Dungeons ที่อันตรายและโด่งดังที่สุดในโลกด้วยนะ! Red Bull เคยมีจัดแข่งขันที่นี่ในช่วงปี 1999-2007 ก่อนจะต้องพักไปจากเรื่องความขัดแย้งกับองค์กรท้องถิ่น น่าเสียดายสุด ๆ

- Noordhoek Beach

ลองจินตนาการว่าถ้าเราขับรถมาจาก Hout Bay...ลงมาสุดปลาย Chappies กม.ที่ 9...เราจะ จ๊ะเอ๋! เจอวิวหาดยาวสีขาวโผล่มาเซอร์ไพรส์กันแบบเต็มตา อลังการฝุด ๆ...จุดเด่นของ Noordhoek คือเป็นหาดที่ ยาวมากกกก (6-8 กม.) + โล่งสุดสายตา เรียกได้ว่าลงไปเดินกันทีเหมือนยึดหาดเป็นของตัวเองเลยหล่ะนะ ฮ่าๆ แถมยังมีซากเรืออับปาง Kakapo Shipwreck ตั้งแต่ปี 1900 เหมือนฉากในหนัง กับ กิจกรรมขี่ม้าริมทะเล เป็นไฮไลต์ของหาดนี้ฮะ


ในบางช่วงเวลาของปี โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวของซีกโลกใต้ (มิถุนายน - พฤศจิกายน) จะสามารถมองเห็น ปลาวาฬเซาเทิร์นไรท์ (Southern Right Whales) และ โลมา ที่เข้ามาหากินในมหาสมุทรแอตแลนติกได้จากจุดชมวิวเหล่านี้ด้วยฮะะ


ทั้งมาง่าย เหยียบบรื๋นน~~ เดียวจากตัวเมืองเคปทาวน์แค่ประมาณ 30 นาทีก็ถึงกันแล้ว กับระยะที่ไม่ไกล ขับชมวิวกันได้ชิล ๆ บนหน้าผาสูงประมาณ 160 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ช่วยยกรถเราให้เห็นวิวทะเลแอตแลนติก - ผาสีแดงของ Chapmans Peak - The Sentinel อยู่ไกล ๆ เป็นฉากหลังกันได้พอดิบพอดี...คุณลุง Chappies เลยเป็นอีก The Must เข้ากรุของสาย Road Trip หรือนักท่องเที่ยวที่มาแอฟริกาใต้ แบบถ้าใครไม่มา...เรียกว่ามาไม่ถึงก็ไม่เกินจริงนะ!


อ้างอิง:

https://www.chapmanspeakdrive.co.za/the-drive

https://www.southafrica.net/zw/en/travel/article/cape-town-s-special-drive-chapman-s-peak

https://www.capepointroute.co.za/seeit-chapmanspeak.php





ภาพ Ring Road | Hringvegur (Photo by Alexandre Breveglieri, Wikimedia Commons, CC BY 2.0)

8.Ring Road (Iceland)



ถนนวงแหวนรอบเกาะของประเทศไอซ์แลนด์ กับความยาวกว่า 1,322 กม. ที่จะว่าพอดีเหมือนบังเอิญก็ได้ฮะ เพราะถ้าเราขับเวียนมาบรรจบ จะเหมือนเที่ยวไอซ์แลนด์ครบทั้งประเทศแล้วก็ว่าได้ เพราะเมืองใหญ่ สถานที่ดัง และแลนด์มาร์กกว่า 90% อยู่ริมเส้นนี้ทั้งหมด


Ring Road น่าจะเป็นถนนที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศมากที่สุดแล้วใน 10 อันดับของเรา หรือจริงๆจะบอกว่าในโลกเลยก็ว่าได้ฮะ เพราะตลอดระยะทาง จะเปลี่ยน landscape ตลอด ธารน้ำแข็ง -> น้ำตกยักษ์ -> ทะเลโฟมขาว -> กวางเรนเดียร์ -> ภูเขาไฟ -> ทุ่งลาวา -> ชายหาด -> พลังงานความร้อนใต้พิภพ เรียกว่าหาที่ไหนไม่ได้แล้วอย่างน้อยก็ในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้


เราลองมาแบ่งที่เที่ยวไฮไลต์เส้นทาง Ring Road กันดู จะได้เป็น 4 ส่วนหลัก 4 เสน่ห์ แตกต่างกันไปฮับบ


8.1.ภาคใต้ (The South Coast)


- Seljalandsfoss

น้ำตกที่สามารถเดินลอดด้านหลังม่านน้ำได้

- Skogafoss

น้ำตกยักษ์สูงถึง 60 เมตร มีสายรุ้งขึ้นบ่อยมากกก

- Reynisfjara Black Sand Beach

ชายหาดทรายดำที่มีชื่อเสียง + เสาหินบะซอลต์ - Basalt Columns ดูแปลกตาสุดๆนะ

- Jokulsarlon Glacier Lagoon

ทะเลสาบน้ำแข็งที่มีภูเขาน้ำแข็งลอยอยู่ มีโอกาสเห็นน้องแมวน้ำว่ายผ่านมาเป็นระยะด้วยหล่ะ

- Diamond Beach

ก้อนน้ำแข็งใสกระจัดกระจายบนหาดสีดำ ดูแล้วเหมือนเพชรจริงๆ!


8.2.ภาคตะวันออก (The Eastfjords)


- Eastfjords

เส้นโค้งตามชายฝั่ง เป็นมุมถ่ายภาพคู่ทะเลแบบ epic!


8.3.ภาคเหนือ (The North)


- Akureyri

เมืองหลวงทางเหนือ มีคาเฟ่น่ารัก ร้านริมท่าเรือ และโบสถ์สวย

- Lake Myvatn

พื้นที่ภูเขาไฟ-น้ำพุร้อน-ปล่องกำมะถัน สวยระดับ world class ฮะ

- Dettifoss

กับมงคล้องคอว่าเป็น น้ำตกที่มีพลังมากที่สุดในยุโรป


8.4.ภาคตะวันตก (The West)


- Hraunfossar & Barnafoss

น้ำตกที่ผุดขึ้นจากใต้ลาวา ไม่เหมือนใครบนโลก!

- Snaefellsnes Peninsula

คาบสมุทรที่เชื่อมต่อออกไปอีกสักหน่อย แต่มีครบทั้ง ภูเขา-น้ำตก-ชายฝั่ง-ธารน้ำแข็ง ไฮไลต์ในโซนเดียว จนมีฉายาว่า Miniature Iceland หรือ ไฮซ์แลนด์ย่อส่วน ฮับ


สิ่งที่ผู้พิชิต Ring Road หรือทางการเค้าย้ำนักย้ำหนา คือ เติมน้ำมันเมื่อเจอ! หรือไม่ควรให้เลยเกินครึ่งถังฮะ เพราะปั้มน้ำมันตั้งอยู่ห่างกันหลายร้อยกิโลเมตรเลยทีเดียว (โดยเฉพาะช่วง Eastfjords) กับ Off-Road Driving is Illegal หรือ การขับออกนอกเส้นทางเป็นสิ่ง ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด! เพราะจะทำลายหญ้ามอสได้นั่นเอง (ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการฟื้นตัวเลยนะ!) เลยมีโทษปรับตามสูงมากมาย


1,322 km จะพอดีๆที่ประมาณ 10-14 วันฮะ แวะเที่ยวสถานที่สำคัญกันแบบสบาย ๆ ส่วนใหญ่เป็นถนน 2 เลนลาดยาง ไม่มีด่าน ไม่มีค่าผ่านทาง และยังสามารถเผื่อเวลาออกนอกเส้นทางไปยังจุดเด่นอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น Golden Circle (*อีกหนึ่งเส้นทางเสริมขึ้นชื่อ ใกล้เมืองหลวง Reykjavik) และ Snaefellsnes Peninsula ที่เล่ากันไปแล้วข้างบนฮับ


อ้างอิง:

https://guidetoiceland.is/travel-iceland/drive/ring-road

https://www.campervanreykjavik.com/post/highlights-iceland-ring-road

https://roadtripsandsuitcases.com/best-attractions-along-icelands-ring-road/

https://www.nordicvisitor.com/blog/iceland-ring-road/





ภาพ Strada Statale 163 (Photo by Berthold Werner, Wikimedia Commons, CC BY-SA 3.0) 

7.Strada Statale 163 (SS163) - Amalfi Coast, Italy 



ถ้าเปรียบสถานที่เป็นเหมือนคน Amalfi Coast ก็ถือว่าได้ รางวัลเกียรติยศ หรือ Hall of Fame ได้เลยหล่ะนะ เพราะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น UNESCO World Heritage ปี 1997 ด้วยเหตุผลด้านคุณค่าทางวัฒนธรรม และทิวทัศน์ที่มนุษย์กับธรรมชาติเกื้อกูลกันมาอย่างยาวนาน (เหตุผลที่ UNESCO ให้เท่ฝุดๆฮับ)


เกริ่นกันพอสังเขปฮะ...อมัลฟีโคสต์ คือพื้นที่ชายฝั่งทะเล (ครอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งประมาณ 50-60 km) มีชื่อเสียงระดับโลกในแคว้น Campania ทางตอนใต้ของอิตาลี โด่งดังและเป็นที่รู้จักจากเมืองเล็ก ๆ ที่เกาะอยู่ตามหน้าผาสูง ซึ่งถ้ามองลงมาจะเห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอลังการ สวยงามมากมายนะ


เมืองใน area มีเด่นๆที่อยากมาพูดถึงกัน พร้อมจุดเที่ยว กิจกรรมน่าสนใจประมาณนี้ได้ฮับ


- Positano

ได้รับความนิยมมากที่สุด มีบ้านเรือนสีพาสเทลลดหลั่นกันลงมาตามหน้าผาสวยงาม กับ โบสถ์ Santa Maria Assunta เป็นสัญลักษณ์ (มีโดมกระเบื้องเคลือบสีสันสดใส) มีผ้าลินินเป็นสินค้าแฟชั่นท้องถิ่น / ร้านบูติกชิค ๆ / หรือจะพักผ่อนที่ชายหาด Spiaggia Grande ก็เป็นอีกไฮไลต์ฮะ

- Amalfi

พระรองของเรา กับชื่อเมืองเดียวกันกับแนวชายฝั่ง มี มหาวิหารซานท์อันเดรีย (Duomo di Sant'Andrea) ที่มีสถาปัตยกรรมแบบอาหรับ-นอร์มัน + บันไดทางขึ้น ที่รวมกันแล้วดูงดงามอลัง และ Museo della Carta (Paper Museum) พิพิธภัณฑ์ที่เล่าสืบทอดศิลปะการทำกระดาษของเมือง ถ้าเราลอง search ภาพดูจะเห็นได้ถึงความคลาสสิกสุดๆฮะ

- Ravello

เมืองที่ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงกว่าเมืองอื่น ๆ กับอีกคำเปรยว่าเป็น สวนสวยสูงเหนือทะเล ทำให้เป็น The Best เรื่องวิวของเมืองแนวชายฝั่ง มีจุดชมวิว Terrazza dellInfinito (Terrace of Infinity) ของวิลล่า Villa Cimbrone ที่มีชื่อเสียง บอกเลยว่าใครได้ไปยืนตรงนั้น นอกจากถ่ายรูปสวย ยังได้อารมณ์ร่วมที่สะกดกันแบบสุด ๆ ฮะ (แนะนำลองเอาชื่อไปเสิร์ชภาพกันได้เหมือนเดิมฮับ) นอกจากนี้ยังมีวิลล่า Villa Rufolo อีกหนึ่งที่โดดเด่นตรงมีสวนสวยสูงเหนือทะเล วิจิตรนะะ

- Maiori & Minori

เมืองที่มีชายหาดทอดยาวกว่าเมืองอื่น ๆ เหมาะไปปิคนิค พักผ่อนริมทะเลฝุดๆ

- Sentiero degli Dei (Path of the Gods)

คือเส้นทางเดินชมชายฝั่งกันจากมุมสูง (ลิบบบ55) ยาวประมาณ 6 km ผ่านหลายเมืองตั้งแต่ Bomerano - Nocelle - Positano เหนื่อยหน่อยแต่คุ้มค่าฮะ เพราะจะได้มุมมองแบบ bird eye view ภาพระดับ postcard กันเลยนะ


จะบอกว่าข้างบนทั้งหมดที่กล่าวมาคือน้ำจิ้ม (อะเจ้ยย ยาวน่าเบื่ออีกแล้ว) เพื่อมาสู่พระเอกของหลักของเราอย่าง Strada Statale 163 (เพราะเราอยู่ในหมวดใหญ่อย่าง World's Most Scenic Drives หล่ะนะ)


ถนนเส้นหลักของชายฝั่ง Amalfi Coast ก็คือเจ้า SS163 กันนี้เอง กินเส้นทางประมาณ 50 km สร้างตั้งแต่ปี 1832-1850 และเปิดใช้กันแบบ official ในปี 1853 เทียบอายุเหมือนเป็นคุณทวด 170 กว่าปีแล้ว! โดยจะวิ่งแล่นผ่านเมืองหลักไฮไลต์ที่กล่าวมาข้างบนทั้งหมดฮะ


แต่จุดที่ท้าทายนักขับทั้งหลาย และขึ้นชื่อลือชาของ SS163 ก็คือเรื่องของความ สวยและอันตราย


ด้วยเพราะเหตใด? สรุปเป็น bullet น่าจะง่ายกับผู้อ่านมากกว่าฮับบ

- เส้นทางบางช่วงมี ราวกั้นตก ต่ำ ห่างไม่มากนักจากหน้าผา
- ขึ้นชื่อเรื่อง ความแคบ และ โค้งหักศอก! มีหลายช่วงที่รถบัสสองคันไม่สามารถสวนทางกันได้สะดวก + โค้งอันตรายหลายสิบแห่ง และมีจุดอับสายตามากมาย
- ช่วง high season (ประมาณ พ.ค.-ก.ย.) รถติดค่อนข้างมากฮะ ทำให้ภายหลังทางการถึงกับต้องออกกฏเข้มอย่าง เลขทะเบียนคู่ / คี่ ขับได้เฉพาะบางวัน (Ex.เดือนสิงหาคมและช่วงอีสเตอร์) มาใช้เป็นกิจจะ ทำให้นึกถึงบางประเทศแถบเอเชียที่ควรมาปรับใช้ด้วยเหมือนกันนะ ฮ่าๆ
- มีรถบัสประจำทาง (SITA Bus) วิ่งประจำ นักท่องเที่ยวจะต้องระวังสักหน่อยฮะ
- มอเตอร์ไซค์ และ สกูตเตอร์จำนวนมาก มีรายงานทางการเลยว่า มอเตอร์ไซค์ วิ่งกันเหมือนเป็น สนามแข่ง อยู่บ้างจนเกิน speed limit กฏหมายท้องถิ่น


ด้วยเพราะสวยและอันตรายหล่ะนะ เลยมักจะดึงดูดสิงห์นักขับ นักบิดทั้งหลายมาประลองความเร็ว ฮ่าๆ (*แต่ทั้งนี้ ยังไม่เคยมีจัดแข่งขันรายการใหญ่ / เล็กแบบเป็นทางการบนถนนเส้นนี้นะ เพราะทางท้องถิ่นต้องการอนุรักษ์ภาพลักษณ์ไว้ด้วยนั่นเอง...พี่บิ๊กฟุตคิดเอาเองฮับ55)


สุดท้ายแล้วว Amalfi Coast และ Strada Statale 163 ถือเป็นเส้นทางมรดกโลกที่สวยงาม ไม่ยาวไกลจนเกินไป เที่ยวเมืองคลาสสิก กับ ชายหาด และ สายลม~~ จะมีอะไรดีไปกว่านี้ได้อีกหล่ะเนอะ


อ้างอิง:

https://www.positanonews.it/2019/04/la-s-s-163-della-costa-d-amalfi-dangerous-commento-carlo-cinque-patron-del-san-pietro-positano/3301728/

https://www.italia.it/en/campania/costiera-amalfitana

https://en.wikipedia.org/wiki/Strada_statale_163_Amalfitana

https://www.italymagazine.com/amalfi-coast





ภาพ Old Head of Kinsale, County Cork, Wild Atlantic Way (Photo by Przemyslaw Skura, Wikimedia Commons, CC BY 4.0)

6.Wild Atlantic Way, Ireland



หรือมี aka (also known as) ว่า WAW ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางชายฝั่งที่ยาวและสวยที่สุดในโลก กับความยาวรวมกว่า 2,500 km! ทอดผ่านครอบคลุมชายฝั่งตะวันตกของไอร์แลนด์กันถึง 9 มณฑล; Donegal, Sligo, Mayo, Galway, Clare, Limerick, Kerry, Cork และ Waterford


ประวัติแบบย่อของ WAW ยังถือเป็นน้องใหม่เพิ่งคลอดไม่นานเองนะ เพราะเปิดใช้ทางการในชื่อ Wild Atlantic Way ในปี 2014 ที่ผ่านมานี้เอง โดยไม่ได้เป็นถนนที่เจาะสร้างใหม่ แต่เป็นการรวมถนนท้องถิ่นริมชายฝั่งหลายร้อยเส้น ให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวใหญ่สายเดียว ซึ่งเป็นประโยคเท่ห์ถูกใจเจ้าพี่บิ๊กฟุตแน่นอนอีกแล้ว55 เข้าคอนเซปต์ United! The One! รวมกันเป็นหนึ่งเดียวอะไรแบบนี้ โฮ่ๆ...โครงการนี้ถูกพัฒนาโดย สำนักงานการท่องเที่ยวไอร์แลนด์ กับจุดประสงค์เพื่อดึงนักท่องเที่ยว พร้อมกระจายรายได้ให้ชุมชนท้องถิ่นฮะ


ไฮไลต์สำคัญตามเส้นทาง *กับขออนุญาตเสริมเกร็ดเล็กน้อยของประเทศไอร์แลนด์กันสักนิดฮะ ว่าเค้าจะแบ่งชื่อ County (เคาน์ตี้) นำหน้าอีกชื่ออีกที หรือเปรียบเทียบเห็นภาพง่ายๆ จะคล้ายๆกับคำว่า จังหวัด ในบ้านเรานั่นเองง


- Cliffs of Moher (County Clare)

หน้าผาสูงชัน และ โด่งดังที่สุดของไอร์แลนด์ (แลนด์มาร์กระดับโลก!) สูง 214 เมตร ทอดยาวถึง 8 km มีวิวมหาสมุทรอลังการ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมามากที่สุดด

- The Burren (County Clare)

พื้นที่หินปูนกว้างใหญ่ (เหมาะเป็น location ถ่ายหนังต่างดาวมากมาย) คล้ายภูมิประเทศโลกจูราสสิก! มีดอกไม้ป่า และ พืชเฉพาะถิ่นหายาก

- Slieve League Cliffs (County Donegal)

หน้าผาทะเลที่สูงที่สุดในยุโรป สูงถึงเกือบ 600 เมตร! (สูงกว่า Cliffs of Moher) สามารถจอดรถมาเดินชมวิวได้ด้วยนะ

- Connemara National Park (County Galway / Mayo)

ทุ่งมอสสีเขียว,ทะเลสาบ, ภูเขา, และเกาะโบราณ ถือเป็น icon ภาพจำของไอร์แลนด์แท้ ๆก็ว่าได้ฮับบ

- Ring of Kerry (County Kerry)

เส้นทางโรดทริปคลาสสิกขึ้นชื่อที่มีเส้นทางเป็นวงกลม (เป็นส่วนหนึ่งของ WAW) รวมเมืองน่ารักอย่าง Kenmare, Skellig Islands (สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ Star Wars ฉากศิษย์ Ray กับอาจารย์ลุคสุดเท่ห์ด้วยนะ!), และ จุดชมวิวอลังการในอุทยานแห่งชาติคิลลาร์นีย์ (Killarney National Park) อย่าง Ladies View ฮะ (สวยแบบ 10 กะโหลกนะ!)

- Dingle Peninsula (County Kerry)

แหลม หรือ คาบสมุทรดิงเกิล เป็นจุดชมวิวทะเล และดวงอาทิตย์ตก กับประเพณีภาษาเกลิกที่ยังคงรักษาไว้ 


ภาษาเกลิกคืออะไรกันนะ? หลายคนอาจจะสงสัย (หรือเปล่า55) แต่ไอ้เราก็ปล่อยผ่านไม่ได้กันเหมือนเคย ยืดเยื้อกันต่ออีกสักหน่อยฮะะ


เห็นแล้วมันน่าขยายยิ่งนัก ด้วยเพราะคาบสมุทรดิงเกิล เป็นส่วนหนึ่งของเขตที่เรียกว่า Gaeltacht (เกลแทกต์) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกพื้นที่หรือชุมชนในไอร์แลนด์ที่ยังใช้ ภาษาไอริช (Gaeilge) เป็นภาษาหลักที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันอยู่มาอย่างยาวนานฮะ (ขณะที่เมือง / จังหวัดอื่นๆใช้ Eng เป็นภาษาหลัก)


ดังนั้น ชุมชน Gaeltacht จึงเป็นของรักของหวงที่รัฐบาลไอร์แลนด์ให้การสนับสนุน และปกป้องพื้นที่นี้เป็นพิเศษ เพื่อรักษาภาษาและวัฒนธรรมไอริชแบบดั้งเดิมไว้ ถ้าใครไปจะเห็นว่าทั้งชื่อเมือง และป้ายสาธารณะทั้งหมดจะถูกเขียนเป็นภาษาไอริชเท่านั้นเลยนะ ดิงเกิลเลยเป็นศูนย์กลางสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสวัฒนธรรมไอริชแท้ๆนั่นเอง (*นักเขียน นักกวี นักวิชาการด้านภาษาไอริชหลายคนก็มาจากพื้นที่นี้ฮะะ)


ภาษาเกลิก = ภาษาไอริช นั่นเองง (โถ บอกแค่นี้สั้นๆก็ได้นะพ่อคุณ55)


- Beara Peninsula (County Cork / Kerry)

เส้นทางขับรถชมทุ่งเขา + ทะเลเลียบชายฝั่ง ที่ยังถือเป็น hidden gem กันอยู่เหมือนกัน มีสะพานลอย + วิวถนนโค้งสูงสวยงาม

- Malin Head (County Donegal / Sligo)

จุดเหนือสุดของไอร์แลนด์ (จุดเริ่มต้น-สิ้นสุดทางการ) มีจุดชมวิว Banba's Crown เป็นเหมือนหอสังเกตการณ์ และ คำสลักขนาดใหญ่บนพื้นหญ้าว่า 80 Eire ที่ถ้าเล่าจะยาวแน่นอนฮะ55 แต่ย่อๆคือหมายถึงเรื่องการแสดงความเป็นกลางของไอร์แลนด์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และ เป็นเครื่องช่วยในการนำทางสำหรับนักบิน ที่บินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงสงครามด้วยฮะ *Éire คือ ชื่อประเทศไอร์แลนด์ในภาษาไอริช / ส่วน 80 = ที่ตั้งของสถานีตรวจการณ์หมายเลข 80 นั่นเอง แฮ่กๆ

- Mizen Head (County Cork / Kerry)

ใต้สุดของสาธารณรัฐไอร์แลนด์ มีสะพานแขวนชื่อดังที่เป็น 1 ในภาพ Postcard ของ WAW กันด้วยนะ ข้ามสะพานแล้วมีอะไรกันหนอ? ชมวิวหน้าผา และสถานีสัญญาณที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ จัดแสดงชีวิตการทำงานของเจ้าหน้าที่ดูแลสัญญาณ และประภาคารในอดีตฮับ


ทั้งหมดทั้งมวลล เราจะมาเส้น WAW กันได้ 2 แบบหลักๆ คือ


1.บินมาถึง Dublin Airport -> สามารถเช่ารถแล้วขับไปยังชายฝั่งตะวันตกได้ -> Dublin ไป Galway ราว 3-3.5 ชม. แล้วเริ่ม WAW จากจุดชายฝั่ง

2.บินมาลง Shannon Airport (County Clare - ระหว่างเมือง Shannon กับ Ennis) -> เช่ารถ -> ขับไป WAW ได้ภายในประมาณ 30 นาที (สนามบินอยู่ใกล้ชายฝั่งของเส้น WAW ฮะ)

หรือจะใช้บริการรถบัสท่องเที่ยว (Tours) มีหลายเจ้าจากสนามบินฮะ ถ้าเราเช่าขับเองแนะนำใช้ Google Maps / แอปไอริชท้องถิ่นช่วยวางเส้นทาง และสามารถ remote ดูบางจุดได้ด้วย (บางช่วงถนนแคบนะ)


All the seasons in Ireland~~

- ฤดูร้อน (มิ.ย. - ส.ค.) อากาศอุ่นที่สุด (แต่มีฝนบ้างนะะ) จุดท่องเที่ยวหลักคึกคักฮะ
- ปลายฤดูใบไม้ผลิ / ต้นฤดูใบไม้ร่วง (พ.ค. - มิ.ย. หรือ ก.ย. - ต.ค.) ช่วงไหล่ฤดู (shoulder season) นักท่องเที่ยวน้อยกว่า อากาศดี วิวเขียว แสงสวยงามม
- ฤดูหนาว (พ.ย. - มี.ค.) บางจุดอาจปิดหรือเที่ยวลำบากกว่า แต่ถ้าเที่ยวแนวธรรมชาติ หรือ ชุมชนเล็กๆก็ฟินมากมายเหมือนกันนะ (แต่งตัวให้พร้อมกันหล่ะ55)


อ้างอิง:

https://www.ireland.com/en-gb/destinations/experiences/wild-atlantic-way/

https://www.tourismireland.com/international/en-us/story-ideas/details/explore-the-epic-wild-atlantic-way

https://www.lonelyplanet.com/articles/wild-atlantic-way

https://ourtraveltreats.de/en/wild-atlantic-way/

https://www.carrentalireland.com/driving-wild-atlantic-way.php





ภาพ view from Lake Balea, Transfagarasan Road (Photo by Andrei Stroe, Wikimedia Commons, CC BY-SA 3.0)

5.Transfagarasan, Romania



หรือถ้าจะเขียนแบบภาษาถิ่นจริงๆ คือ Transfăgărășan (ทรานส์ฟากาเรซาน) ฮะ มี aka ว่า DN7C เป็นอีกถนนที่น่าทึ่งที่สุดสายหนึ่งของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย จากทั้งผลโหวตที่ได้ลอง research จากเหล่า travel blog / เว็บไซต์ / หรือการพูดคุยทั่วไปของผู้คน ex.reddict / รวมถึงรายการชื่อดังสายยานยนต์อย่าง Top Gear (BBC) ที่เคยยก DN7C ให้เป็น The Best Road in the World ในปี 2009 กันด้วย


ขยายความ Top Gear กันสักนิดฮะ จริงๆต้องบอกว่าเป็นแค่ความเห็นของ Jeremy Clarkson พิธีกรใน serie ตอนหนึ่งคนเดียว ไม่ใช่สิ่งที่ Top Gear จะมาจัดอันดับ หรือ ให้รางวัลกันทุกปีเป็นกิจจะ (*ก่อนหน้าปี 2009 Top Gear เคยยกให้ Stelvio Pass ใน Italy เป็นถนนที่ดีที่สุดมาครั้งนึง) แต่หลังจากการพูดถึง Transfagarasan ของ Top Gear ในปี 2009 ก็ถือว่ามีอิทธิพลค่อนข้างมากที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักถนนเส้นนี้มากขึ้นเยอะก็ว่าได้ฮะ


DN7C สร้างขึ้นในช่วงปี 1970-1974 กับวัตถุประสงค์หลักทางยุทธศาสตร์การทหาร เพื่อเป็นเส้นทางขนส่งและหลบหนีข้ามเทือกเขาได้เร็วยิ่งขึ้น กรณีที่สหภาพโซเวียตในตอนนั้นบุกรุกโรมาเนีย การก่อสร้างก็แสนยากลำบาก มีระบุว่าต้องใช้ระเบิดไดนาไมต์จำนวนมหาศาล ทำให้มีทหารและคนงานหลายสิบต้องเสียชีวิตสังเวยให้กับถนนเส้นนี้


จุดเด่นที่ท้าทาย และเป็นเอกลักษณ์ของ DN7C คือเส้นทางที่วกวน โค้งหักศอกมากมายย โดยเฉพาะช่วงเส้นทางเหนือทะเลสาบบาเลอา (Balea Lake) กับการขับไต่ระดับความสูงต่อเนื่องจนถึงจุดสูงสุดที่ 2,042 เมตร ซึ่งเป็นจุดไฮไลต์หลัก ชมวิวทะเลสาบกันได้งดงามฮะ


เค้าว่าแก่นแท้ของ DN7C คือ 90 km ที่วิ่งบนเขาแบบจัดเต็ม ตลอดแนวเทือกเขาฟากาเรซ (Fagaras Mountains) มีทั้งอุโมงค์ สะพาน และทางยกระดับที่สร้างเลียบไปตามหน้าผาสูงชัน แต่จริง ๆ แล้ว ความยาวทั้งหมดของ DN7C คือ 150 km นะ ในส่วนอีก 60 km ที่เหลือคือเส้นทางเชื่อมต่อที่ยังคงสวยงาม แต่มีความเป็นถนนชนบทปกติมากกว่า ไม่ได้มีลักษณะการไต่ระดับที่สูง และโค้งหักศอกถี่เท่ากับส่วนหลัก 90 km ฮับ


Transfagarasan คือเส้นทางเชื่อมต่อภูมิภาคหลักสองแห่งของโรมาเนีย ได้แก่ เหนือ: ทรานซิลเวเนีย (Transylvania) และ ใต้: มุนเตเนีย (Muntenia) ระหว่างเมืองทางเหนืออย่าง Cartisoara หรือ Sibiu และ ทางใต้อย่าง Curtea de Arges ส่วนนักท่องเที่ยวนิยมใช้ DN7C เป็นเส้นทางขับรถชมวิว (Scenic Drive) มากกว่า โดยมีจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดคือ ทะเลสาบบาเลอา (Balea Lake) กับ เขื่อนวิดรารู (Vidraru Dam) นั่นเอง 


ไฮไลต์ตลอดเส้นทางของ DN7C กับจุดที่เค้าบอกกันว่า ต้องแวะ กรองมาได้ประมาณนี้ฮับ


- ทะเลสาบบาเลอา (Balea Lake)

ทะเลสาบธารน้ำแข็งบนยอดเขา ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของถนน (ความสูง 2,034 ม.) มีรีสอร์ต Igloo (บ้านเอสกิโม) / โรงแรมน้ำแข็งอย่าง Bâlea Ice Hotel ที่เปิดเฉพาะฤดูหนาว

- เขื่อนวิดรารู (Vidraru Dam)

เขื่อนยักษ์สูง 166 เมตร กักเก็บน้ำไว้ในทะเลสาบ Vidraru Lake วิวสวยให้อารมณ์แบบนอร์เวย์ฮะ

- ป้อมปราการโปเอนาริ (Poenari Citadel / Poenari Fortress)

ซากปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง เป็นที่รู้จักเพราะเชื่อมโยงกับ Vlad the Impaler (วลาด จอมเสียบ!) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับตำนานแดร็กคูลา การเข้าชมต้องปีนบันไดชันกว่า 1,400 ขั้นกันเลยหล่ะ


*ปล.อ่านเรื่อง Vlad the Impaler ได้เพิ่มเติมจาก link นี้นะ เคยเขียนกันไว้แล้วฮะ ฮ่าๆ
https://www.bigfootfuntrip.com/blog/7501/


อีกจุดที่ต้องกา * สำหรับเจ้า DN7C คือไม่ได้เปิดกันตลอดทั้งปีนะ เพราะจะปิดตลอดช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ (ประมาณ พ.ย.-มิ.ย. ของปีถัดไป) เพราะหิมะสูงถึง 4-5 เมตร! ฤดูท่องเที่ยวดีที่สุดจึงเป้นช่วง กรกฎาคม - กันยายน ฮะ


แนะนำเพิ่มเติมว่าใครอยากเดินทางไปขับเส้นนี้จริงๆ ควรเช็ก Transfagarasan.travel + Romania Insider เพื่อดูสถานะเปิด-ปิดล่าสุดฮะ

https://transfagarasan.travel/en/
https://www.romania-insider.com/


สุดท้ายกันแล้วว แปะเรื่องการเดินทางเผื่อไว้สักนิด DN7C มาได้วิธีหลักๆ คือ


เช่ารถขับเอง (สะดวกสุด)

1.จากเมือง Bucharest ไปเส้น Transfagarasan ใช้เวลาประมาณ 3.30 ชม. และขับเที่ยวต่อได้เลย

2.(ใกล้กว่า) ลงเครื่องที่ Sibiu Airport ขับรถไป Transfagarasan ประมาณ 1.30 ชม. จะไปถึงกลางเส้น หรือจุดสำคัญของ DN7C พอดีเลยฮะ (จุด Balea)

รถบัส (ทัวร์) *ไม่มีรถประจำทางวิ่งเส้น DN7C ประจำนะ!

1.Balea Bus

มีบริการบัสท่องเที่ยวนำขึ้น Transfagarasan จาก Carpathian Travel Center เมือง Sibiu -> Balea Cascada ค่าบัสประมาณ 55 /คน (ผู้ใหญ่) สำหรับทริปไป-กลับในวันเดียว + มีบริการไกด์-คนขับภาษาอังกฤษฮะ

2.ทัวร์ 1-day Tour โดย Autocar...บริษัท Hello Holidays มีแพ็คเกจ Excursie Transfagarasan จาก Bucuresti -> Curtea de Arges Balea / Transfagarasan -> Vidraru Dam แล้วกลับไป Bucarest

3.ทัวร์หลายวัน หรือเป็นแบบ Circuit มีหลายเจ้า Ex. Magic Tours, Startours, Tamicris Tours, Ramona Tourism เป็นต้นฮะ (ไป search กันต่อได้โลด)


ไม่มากก็น้อย...ไม่สุดท้าย ก็ท้ายสุด...(จบจริงๆแล้วฮับ55) กับระยะทางที่ไม่มาก ไม่มาย + ความมัวส์ของโค้งและเส้นทาง + วิวที่ได้ระหว่างทาง เชื่อว่า Transfagarasan จะต้องอยู่ใน top tier ของ Best Scenic Drive กันไปอีกนานแน่นอนฮะ


อ้างอิง:

https://absoluteguides.ro/it/transfagarasan

https://www.ourglobetrotters.com/bucharest-transylvania-road-trip/

https://en.wikipedia.org/wiki/Transf%C4%83g%C4%83r%C4%83%C8%99an

https://www.rome2rio.com/s/Bucharest/Transf%C4%83g%C4%83r%C4%83%C8%99an

https://www.carpathian-travel-center.com/media/Brosura_2022_EN.pdf





ภาพ Atlantic Road (Photo by Martin Schmitt, Wikimedia Commons, CC BY 2.0)

4.Atlantic Road, Norway



Atlantic Road หรือภาษาถิ่นว่า Atlanterhavsveien ถูกออกแบบมาให้เป็นเส้นทางท่องเที่ยวธรรมชาติของนอร์เวย์ (National Tourist Route) และถูกบรรจุในมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศนอร์เวย์เป็นที่เรียบร้อย (Norwegian Directorate for Cultural Heritage) มีภาพจำจากสะพานข้ามเกาะเล็กๆกลางทะเล (ทั้งหมด 8 สะพาน) + วิวเกาะเขียว / คลื่นทะเล สวยงามแบบใกล้ชิดฮะ


ระยะทางรวม 8.3 km เชื่อมต่อเกาะและเกาะเล็ก ๆ ต่าง ๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติก ระหว่างเมือง Eide และ Averøy ถือเป็นเส้นทางส่วนหนึ่งของถนน County Road 64 (RV 64) ถูกสร้างในช่วงปี 1983-1989 (เปิด official - 7 กรกฎาคม 1989) ที่มีความยากลำบากไม่แพ้ถนน top 10 เส้นอื่นๆ เพราะในช่วงก่อสร้างต้องเจอกับพายุไซโคลนถึง 12 ครั้ง เลยถือว่าเป็นงานวิศวกรรมแห่งศตวรรษที่ชาวนอร์ดิกภาคภูมิใจฮะ


จุดเด่นและสถานที่สำคัญตลอด 5.2 ไมล์ ก็คือ...


- สะพาน Storseisundet (Storseisundet Bridge)

จากทั้งหมด 8 สะพาน Storseisundet คือพระเอกที่สุดแล้วก็ว่าได้นะ ยาวประมาณ 260 เมตร สูงสุดประมาณ 23 เมตรจากระดับน้ำทะเล มีฉายาที่คน local เค้าเรียกกันว่า "สะพานขี้เมา" (The Drunk Bridge) หรือ "สะพานสู่ความว่างเปล่า" (Bridge to Nowhere) เพราะรูปลักษณ์ของสะพานเสมือนพริ้วไหว เปลี่ยนไปตามมุมมอง หรือดูเหมือนจะพาเราดิ่งลงไปในมหาสมุทร ถ้ามองจากบางมุมหล่ะนะ (เหมือนขับขึ้นเนินอยู่ดี ๆ แล้วเห็นสะพานตัดกลางอากาศ ไม่มีทางไปต่อกันซะอย่างนั้น55) ซึ่งจริงๆก็คือความตั้งใจของวิศวกรรมที่ออกแบบให้โค้งรับกับคลื่น + ภูมิประเทศนั่นเอง

- Eldhusøya (Svevestien trail)

เส้นทางเดินใกล้ขอบทะเล ยาวประมาณ 550 เมตร บนเกาะ Eldhusøya ดูคลื่นและวิวเกาะกันแบบ exclusive มีจุดพักใหญ่ (มีทั้งคาเฟ่, ห้องน้ำ,จุดดูวิว ครบๆ)

- Vevang (หมู่บ้าน / ชุมชน)

จุดแวะพักสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาขับรถตามเส้นทางชมวิว เพราะจะว่าเป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดของเส้นทางก็ว่าได้ฮะ มีศูนย์กิจกรรมทางทะเล Strømsholmen sea sport center ที่มีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ อาทิ ดำน้ำ (มีซากเรืออับปางและสัตว์ทะเลหลากหลาย), พายเรือคายัค, และ ตกปลา


*สะพานหลายแห่งของ Atlantic Road ได้รับการออกแบบมาพร้อมกับจุดตกปลาที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษ ถือเป็นที่นิยมอีกแหล่งสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการตกปลาน้ำลึกด้วยนะ


สำหรับวิธีการมาให้ถึงเส้น Atlantic Road จากสนามบิน จะสรุปให้เบื้องต้นในส่วนท้ายนะฮับ เผื่อสำหรับคนที่ไม่สนใจ จะได้ไม่ยืดยาวจากตรงนี้ฮะ55


มาถึงสิ่งที่ต้องระวังกันสักหน่อย คือเรื่องพายุ ลมแรงและคลื่นสูง โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง - ฤดูหนาว นักผจญภัยที่จะมาเที่ยวชมจึงควรเช็กสภาพอากาศ วางแผนก่อนมาเยือน ทำการบ้านกันสักนิดฮะ กับสถิติเบื้องต้น Peak Storm Season (พายุและคลื่นใหญ่ที่สุด) จะอยู่ช่วง ตุลาคม-พฤศจิกายน / Extreme Weather Period (ลมแรงมากและคลื่นสูง) ธันวาคม-กุมภาพันธ์ / Shoulder Season หรือไหล่ฤดู มีความไม่แน่นอนของอากาศสูง ต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษ คือช่วง กันยายน-ตุลาคม...นั่นเท่ากับว่าแถบไม่เหลือเดือนให้เที่ยวแล้วไหมนะ ฮ่าๆ ทั้งนี้เป็นแค่การระมัดระวัง และ วางแผนตักเตือนกันอีกทีฮะ โดยเว็บไซต์ที่สามารถคอยตามข่าวที่อยากมาแนะนำกันก็คือ

https://www.yr.no/nb แนะนำโดย Atlantic Road Safety Guide โดยตรงเลยนะ ไว้เช็คความเร็วลม คลื่น และพยากรณ์อากาศก่อนขับรถ (Weather Service ทางการของนอร์เวย์)

https://www.nasjonaleturistveger.no/en/routes/atlanterhavsvegen เว็บทางการของเส้นทางท่องเที่ยวชายฝั่งนอร์เวย์ (National Tourist Routes) มีข้อมูลเส้นทาง Atlantic Road + สภาพถนนและการเดินทางไกด์ไลน์ให้ฮะ 


ถ้าเทียบเป็นเกมส์ และ Atlantic Road คือด่านที่ต้องพิชิต ความสนุกคงไม่ใช่เรื่องของความยาก โค้งหักศอก ระยะทางไกล หรือสถานที่แวะเที่ยวมากมายที่ต้องเก็บให้ครบ แต่จะเป็นเรื่องของปัจจัยแวดล้อมมากกว่าตัวถนนเองหล่ะนะ เช่น วันที่อากาศสงบ = ชิลล์ ขับรถผ่านได้แบบสบาย ๆ  / ในช่วงที่มีพายุ = คลื่นยักษ์จากแอตแลนติกซัดเข้าใส่ถนนและสะพาน ซึ่งเค้าบอกว่าจริง ๆ แล้วเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น (และอันตราย) อยู่เหมือนกันฮะ 


อ้างอิง:

https://www.visitnorway.com/places-to-go/fjord-norway/northwest/listings-northwest/norwegian-scenic-routes-the-atlantic-road/11862/

https://www.lifeinnorway.net/atlantic-road-trip/

https://www.fjords.com/en/western-norwegian-fjords/fjord-guide/romsdalsfjord/atlantic-road/

https://www.atlantic-road.com/storm-watching-guide

https://www.visitnorway.no/reisemal/vestlandet/nordvest/listings-northwest/busstur-fra-molde-til-atlanterhavsveien-og-bud/280001/

https://www.rome2rio.com/no/s/Kristiansund/Atlanterhavsveien


---------------------------------------------------------


การมาให้ถึงเส้น Atlantic Road  แบบพอสังเขป ไม่ยากลำบากแต่อย่างใดนะ วิธีที่แนะนำ



1.ลง Kristiansund Airport (KSU)(Kvernberget) *มีเที่ยวบินภายในประเทศเชื่อมกับเมือง Oslo, Bergen, Trondheim ด้วย -> เช่ารถขับระยะทางประมาณ 39.5 กม. ใช้เวลา ~39 นาทีถึง Atlantic Road (เส้น Route 64)

แต่ถ้ารถบัส มีให้บริการสาย 802 / 501 จากสนามบินไปยัง Kristiansund trafikkterminal แล้วต่อไปหมู่บ้าน Kårvåg (จุดเข้าทาง Atlantic Road) โดยสาย 501 ก็ได้ฮะ

2.Molde Airport (MOL) 

ไม่ใกล้เท่า KSU แต่เป็นอีกสนามบินที่ใกล้ Atlantic Road ฮะ มีรถบัสประจำทางของ FRAM วิ่งผ่าน Atlantic Road เส้นที่ใช้คือ Route 64 เป็นถนนสายหลักเชื่อม Molde กับ Atlantic Road (ประมาณ 50 km หรือ ~47 นาที)

หรือจะเลือกซื้อทัวร์ / บัส จาก Molde -> Atlantic Road -> Bud มีจอดจุดชมวิว + รวมทัวร์ ใช้เวลาประมาณ 3 ชม. 20 นาที เป็นอีก option ที่ดีนะะ


3.Trondheim Airport (Værnes)(TRD) ไม่ค่อยแนะนำนัก เพราะจะไกลกว่าทางอื่นพอสมควรฮะ แต่ก็เป็นอีกตัวเลือก เพราะมีเที่ยวบินระหว่างประเทศมาลงด้วย จาก TRD สามารถต่อเครื่องภายในหรือขับรถตรงมาที่ Atlantic Road ได้เลย โดยใช้ทางหลวง + ถนนท้องถิ่น กับระยะทางประมาณ 335.5 กม. หรือ ~5 ชม.


ทั้งหมดทั้งมวล เช่ารถ เป็นตัวเลือกที่ยืดหยุ่นที่สุด เพราะขับเข้าเส้นทางได้โดยตรง และหยุดจุดชมวิวตามที่ต้องการกันได้เลย ส่วน บัส มีบริการบัสท่องเที่ยวแบบทัวร์ (Molde -> Atlantic Road) หรือจากเส้นเมืองอื่นตามที่เล่ากันข้างบนฮะะ





ภาพ Icefields Parkway (Photo by Natulive Canada, Wikimedia Commons, CC BY-SA 4.0)

3.Icefields Parkway, Canada



คือ ทางหลวงหมายเลข 93 เหนือ (Highway 93 North) ของแคนาดา เป็น 1 ในเส้นทางขับรถชมวิวที่งดงามที่สุดในโลก และเป็นเหมือนเส้นเลือดหัวใจสำคัญของเทือกเขาร็อกกี้อันโด่งดัง และเป็นมรดกโลกที่ทาง UNESCO มอบมงให้ด้วยฮะ กับ Canadian Rocky Mountain Parks


ระยะทางรวม 232 km (144 ไมล์) เส้นทางครอบคลุมเชื่อมต่อ Lake Louise ใน อุทยานแห่งชาติแบมฟ์ (Banff National Park) ทางทิศใต้ เข้ากับเมือง Jasper ในอุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) ทางทิศเหนือ


ระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางเบื้องต้นจะประมาณ 3 ชม. (ถ้าเราขับแบบไม่หยุดเลยนะ) แต่โดยทั่วไปแล้วปกตินักท่องเที่ยวจะใช้เวลากันเต็มวัน หรืออย่างน้อยๆต้องมี 5-9 ชม. เพื่อแวะชมวิวตลอดทาง (แต่แนะนำว่า 1 วันขั้นต่ำเพื่อเก็บครบๆ แบบชิลๆฮะ55)


ไฮไลต์หลักของ Icefields Parkway


- Columbia Icefield

จุดศูนย์กลางของอุทยานแจสเปอร์ และเป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในเทือกเขาร็อกกี้ของแคนาดา มี Glacier Discovery Centre เป็นศูนย์บริการหลัก ที่มีทั้งศูนย์ข้อมูล พิพิธภัณฑ์ จุดจำหน่ายตั๋วและจุดเริ่มต้นทัวร์ธารน้ำแข็ง แถมมีโรงแรมด้วยนะ!

- Athabasca Glacier

ธารน้ำแข็งย่อยของ Columbia Icefield นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นรถ Ice Explorer (รถบัสขนาดใหญ่ที่ออกแบบพิเศษ มีล้อยักษ์ไว้วิ่งตะลุยน้ำแข็ง และ Heater บนรถด้วยฮับ) เพื่อขับขึ้นไปบนธารน้ำแข็งชมวิวกันสนุกสนาน

- Glacier Skywalk

ทางเดินกระจกที่ยื่นออกไปเหนือน้ำตกและหุบเขา Sunwapta Valley วิวธรรมชาติอลังการมากมาย

- Peyto Lake

ทะเลสาบที่มีชื่อเสียงจากสีฟ้าแบบเทอร์ควอยซ์ และดูแล้วรูปร่างคล้ายสุนัขจิ้งจอก (เหมือนจริงๆนะemoji)

- Bow Lake

ทะเลสาบขนาดใหญ่ อยู่ทางตอนเหนือของ Lake Louise เป็นที่นิยมสำหรับถ่ายรูปและแคมป์ปิ้ง

- Crowfoot Glacier

ธารน้ำแข็งที่มองเห็นได้จากถนน ปัจจุบันละลายไปมากแล้ว emoji

- Athabasca Falls & Sunwapta Falls

น้ำตกขนาดใหญ่ 2 แห่งทรงพลัง น้ำแรงขนาดกัดเซาะหินปูนเป็นช่องแคบสวยงามฮะ


อีกหนึ่งที่ ที่อาจจะหมิ่นเหม่ว่าอยู่ในเส้นทาง Icefields ไหมนะ แต่ไม่รวมไม่ได้ก็คือ Lake Louise เป็นอีก 1 ทะเลสาบสีฟ้าแบบเทอร์ควอยซ์ระดับโลก ล้อมด้วยยอดเขา Victoria Glacier มีจุดชมวิวหลักอยู่ที่หน้าโรงแรม Fairmont Chateau Lake Louise ที่ถ้ามีโอกาสก็อยากแนะนำให้พักที่โรงแรมนี้เช่นกันฮะ (ราคาเอาเรื่องอยู่หล่ะนะ55) สาเหตุที่หมิ่นเหม่ก็เพราะว่า Lake Louise เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นก่อนเข้าสู่ Icefields Parkway ไม่ใช่จุดบนเส้นทาง 93N โดยตรง เลยไม่ใช่ฟีล แวะระหว่างทางขับ อะไรแบบนั้นฮะ แต่ก็ถือเป็น highlight สำคัญก่อนออกเดินทาง เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นทิศใต้ที่คนต้องแวะ 99.99% หล่ะนะ ฮ่าๆ (จุดตัดระหว่าง: Lake Louise Village / Highway 1 (Trans-Canada) กับ Highway 93N)


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย หนังสือ 9 บาทกับพี่บิ๊กฟุตกันเล็ก ๆ สำหรับหนอนหนังสือ...Icefields Parkway สร้างขึ้น เกือบจะ ขนานไปกับแนวแบ่งทวีป (Continental Divide) ซึ่งเป็นร่องน้ำที่แบ่งทิศทางการไหลของน้ำในอเมริกาเหนือ ดังนั้นเค้าจึงเปรียบเปรยกันว่า การขับรถบนถนนนี้จึงเหมือนกำลังขับอยู่บนไขสันหลังของทวีปกันเลยนะ และ จาก Columbia Icefield หรือจุดแวะสำคัญในเส้นทาง Icefields Parkway...น้ำที่ละลายจากธารน้ำแข็งจะไหลลงสู่มหาสมุทร 3 แห่งที่แตกต่างกันทั่วโลก! ได้แก่

มหาสมุทรแปซิฟิก - ผ่านแม่น้ำ Columbia
มหาสมุทรอาร์กติก - ผ่านแม่น้ำ Athabasca
มหาสมุทรแอตแลนติก - ผ่านแม่น้ำ North Saskatchewan


ถือเป็นอีก 2 ความยิ่งใหญ่ เท่ ๆ ของธรรมชาติบนเส้นทางฮะ แถมประวัติศาสตร์การสร้างกันสักหน่อยก็คือ ก่อนที่จะเป็นถนนหลวง คนพื้นเมืองเคยใช้เส้นทางนี้เพื่อล่าสัตว์และค้าขายมาก่อน (เส้นทางเดิน / ม้า) จนมาเริ่มก่อสร้างกันจริงจังในเดือน กันยายน 1931 ที่การทำงานแทบทั้งหมดจะทำด้วยมือและสัตว์ แต่ละทีมมีแทรกเตอร์เพียงหนึ่งตัวเท่านั้นเองฮะ (อ้างอิง https://parkpilgrim.com/the-ultimate-guide-to-the-icefields-parkway-complete-overview/) จนปี 1940 ถนน single-track ถึงจะสร้างเสร็จและเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ (*แต่ยังเป็นในรูปแบบถนนลูกรัง ถนนกรวดกันอยู่เลยนะ) ล่วงเลยต่อมาถึงปี 1961 ที่มีการเปิด Icefields Parkway โฉมใหม่ ปรับให้เป็นแบบลาดยางจริงจัง ขยายถนน และมีจุดชมวิว จุดตั้งแคมป์ และดูแลพัฒนาต่อมาจวบจนปัจจุบันนั่นเอง


*ช่วง WWII เส้นทาง Icefields ก็มีบทบาทอยู่บ้างมิใช่น้อย ถูกใช้เพื่อฝึกทหารภูเขา (mountain warfare) + ยานยนต์หิมะ โดยกองทหารพันธมิตรฮะ


อ้ออ!! อีก 1 ข้อควรระวังคือ Icefields Parkway มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือค่อนข้างน้อย หรือแทบไม่มีเลย คนที่ไปควรจะโหลดแผนที่ออฟไลน์ หรือพกแผนที่กระดาษไปด้วยเลยอีกทางฮะ และ *** สามตัวว่า ตลอดเส้นทาง 230 กม....

มีปั๊มน้ำมันจริง ๆ แค่ที่เดียว = Saskatchewan River Crossing (จุดพัก หรือ service area เป็นเหมือนคอมเพล็กซ์ที่มีปั๊มน้ำมัน, ร้านอาหาร, ห้องน้ำ, และ ที่พัก The Crossing Resort)

อาหารแท้ ๆ มี 2 จุด = Columbia Icefield / Glacier Discovery Centre (ไม่มีปั๊มน้ำมัน) และ Saskatchewan River Crossing

และ!! ทั้งสองจุดเปิดแค่ช่วงฤดูที่นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้ ดังนั้นในช่วงฤดูหนาว (พ.ย.-มี.ค.) จะแทบไม่มีบริการเลยนะ ต้องวางแผน และรังวังกันเป็นพิเศษเลยหล่ะ (อย่าลืมว่าสัญญาณมือถือไม่มีในหลายช่วงของถนนกันด้วยนะ55) เค้าจึงแนะนำกันว่าให้เติมน้ำมันเต็มถังก่อนออกจาก Jasper หรือ Lake Louise และ เตรียมอาหาร-น้ำสำรอง กันให้ดีฮะ เพราะถ้าแวะเติมปั๊มใน Crossing จะราคาแพงกว่าในเมืองอย่างมากกกกกกกกนะ


มาถึงตรงนี้ คนอ่านจะเหนื่อยเหมือนคนเขียนกันไหมนะ555 เห็นกันอยู่ทนโท่!! ว่าเจ้า Icefields Parkway หรือจะ Highway 93 North หรือจะ Highway 93N...3 นามเท่ๆของถนนเส้นนี้เต็มไปด้วย ธรรมชาติล้วนๆ แบบ no make up และดูเหมาะกับคำว่า road trip ดีเหลือเกินน แวะพักแคมป์ก็ได้ - เดิน - วิวภูเขาหิมะ น้ำแข็ง ทะเลสาบ - สัมผัสธารน้ำแข็งจริง รวมกันแบบโกง ๆ อยู่ในเส้นเดียวได้อย่างไรเนี่ย (emoji)


อ้างอิง:

https://thecanadianrockies.com/wp-content/uploads/2023/03/icefields.parkway.pdf

https://parks.canada.ca/pn-np/ab/jasper/activ/itineraires-itineraries/promenadedesglaciers-icefieldsparkway/pghistoire-iphistory

https://thebanffblog.com/icefields-parkway-tips/

https://roadtripalberta.com/banff-to-jasper/

https://www.canada-travel.ca/alberta/saskatchewan-river-crossing/


---------------------------------------------------------


การเดินทางมายังเส้น Icefields Parkway แนะนำเบื้องต้นกันประมาณนี้ฮะ


1.Calgary International Airport (YYC) ได้รับความนิยมที่สุดสำหรับการเดินทางไป Banff และ Lake Louise (ใช้เวลาขับรถประมาณ 2-3 ชั่วโมงไปยัง Banff)

2.Edmonton International Airport (YEG) เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการเดินทางไปเมือง Jasper ก่อน (แต่ระยะทางไกลกว่า) จาก YEG ไป Jasper ประมาณ 389 km ~4 ชม. และขับต่อตรงเข้า Highway 93 ได้เลยย

*รถเช่า เป็นวิธีที่แนะนำที่สุดเช่นเคยฮะ เพราะหยุดแวะชมง่าย 

*รถชัตเติล (Airport Shuttle) มีบริการรถแบบประจำ (Express Bus/Shuttle Service) ที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน (Ex. Brewster Express, SunDog Tour Co.) ที่เชื่อมต่อสนามบิน Calgary (YYC) ไปยัง Banff, Lake Louise และ Jasper อยู่ด้วยนะ


*เส้น Icefields Parkway ไม่มีบริการรถขนส่งสาธารณะเหมือนรถเมล์ในเมืองฮะ แต่ก็มี option เพิ่มเติมพอได้ว่า


1.บริษัททัวร์ (Ex.Discover Banff Tours, Banff Jasper Collection) ให้บริการรถบัสแบบขาเดียว (One-way) หรือทัวร์เต็มวันระหว่าง Banff / Lake Louise ไปยัง Jasper...รวมจุดแวะชมหลัก เช่น Peyto Lake และ Columbia Icefield อาจรวมตั๋วสำหรับ Ice Explorer และ Glacier Skywalk ไว้ด้วยฮะ

2.รถบัสท้องถิ่น (Roam Transit) 
- ให้บริการเฉพาะในเขต Banff เชื่อมต่อไปยัง Lake Louise เท่านั้น (จุดเริ่มทางทิศใต้ของ Highway 93) ไม่ได้วิ่งไปตลอดเส้นทาง Icefields Parkway จนถึง Jasper ฮะ


และจริงๆแล้ว ทัวร์ผ่านทาง Bigfoot Funtrip เราก็มีไปจากไทย และแนะนำโปรแกรมได้เช่นกันนะ โฮ่ๆ tie in กันซะนิดซะหน่อยฮับ ฮ่าๆ 





ภาพ เส้นทางถนน N2, เมือง Wilderness, South Africa (Photo by South African Tourism, Flickr / Wikimedia Commons, CC BY 2.0)

2.Garden Route, South Africa



ต้องเกริ่นกันก่อนว่า คำว่า "Garden Route" จริงๆแล้วไม่ใช่ชื่อถนนฮะ แต่เป็นเหมือนชื่อภูมิภาคท่องเที่ยว ถูกตั้งโดย John Paterson นักพฤกษศาสตร์ตั้งแต่ปี 1925 เพราะเห็นว่า area นี้เป็นภูมิภาคชายฝั่งที่อุดมด้วยความเขียวชอุ่ม มีป่า ทะเลสาบ มากมายสวยงาม ทำให้ต่อมาหน่วยงานท่องเที่ยวของแอฟริกาใต้เอาคำนี้มาใช้เป็นชื่อภูมิภาคท่องเที่ยวทั้งหมดระหว่างเมือง Mossel Bay -> แม่น้ำ Storms River ในอุทยาน Tsitsikamma เมือง Eastern Cape (บาง source อ้างอิงว่าถึงเมือง Witsand ก็มีฮะ)


ระยะทางรวมจาก 2 จุดที่ว่า ประมาณ 300 km ถนนเส้นหลักที่ใช้ก็คือ N2 highway วิ่งตามแนวชายฝั่ง ผ่านเมือง, อุทยาน, และจุดเที่ยวสำคัญต่างๆ อย่าง Mossel Bay - George - Wilderness - Sedgefield - Knysna - Plettenberg Bay - Tsitsikamma - Storms River


+ กับเส้นรองข้างใน R62 ที่เป็นเหมือนเส้น scenic alternative ไว้เที่ยวทางบก เช่น วิวเขา Karoo, ชิมไวน์ร้านดัง, ขึ้นชื่อว่ามีเส้นโค้งสวยเป็นพิเศษด้วย อะไรแบบนี้ฮะ


*ที่นักขับต่างชาติเค้าแนะนำกันก็คือ N2 ไป - R62 กลับ ให้เราเก็บวิว-กิจกรรมได้ครบ ๆ หล่ะนะ


มาถึงไฮไลท์ตลอดช่วง Garden Route มีอะไรกันบ้างง


- Mossel Bay

เหมือนเป็นประตูทางตะวันตกของ Garden Route มีพิพิธภัณฑ์เรือ และกิจกรรมทางทะเล

- George

เมืองใหญ่สุดบนเส้นทาง เป็นศูนย์กลางของการเดินทาง (สนามบิน George) และจุดเช่ารถหลัก แถมยังเป็น hub ของสนามกอล์ฟระดับโลกหลายแห่ง Ex.Fancourt Golf Estate; 1.The Links, 2.Montagu Course, และ 3.Outeniqua Course หรือจะ Oubaai Golf Course และ Pinnacle Point Golf Estate ฮะ

- Oudtshoorn

(เลาะเข้าไปใน Little Karoo หรือถนนเส้น R62) มีถ้ำ Cango และ ฟาร์มนกกระจอกเทศ

- Wilderness / Sedgefield

มีอุทยานแห่งชาติ Garden Route National Park กับส่วนที่เต็มไปด้วยทะเลสาบ / พื้นที่ชุ่มน้ำ มีกิจกรรมพายเรือคายัก และเดินป่า

- Knysna

เมืองที่เค้าว่ามีวิวงดงามที่สุดด ตั้งอยู่รอบทะเลสาบหรือลากูน Knysna Lagoon เป็นไฮไลต์ รวมถึง Knysna Heads หรืออีกชื่อว่า The Heads *ช่องเขาสองด้านที่เป็นปากทางเข้าจากมหาสมุทรสู่ทะเลสาบฮะ นอกจากนี้ Knysna ยังสามารถล่องเรือชมปลาวาฬ (ตามฤดูกาล) ได้ด้วยนะ

- Plettenberg Bay

หรือชื่อเรียกท้องถิ่นว่า Plett เป็นเมืองพักตากอากาศหรู มีหาดทรายสวย กับกิจกรรมขึ้นชื่ออย่าง การดูปลาวาฬ (Whale Watching), การดูโลมา (Dolphin Spotting) และการชมโรงไวน์ในบริเวณใกล้เคียง

- อุทยานแห่งชาติซิซิกัมมา (Tsitsikamma National Park)

เต็มไปด้วยป่าโบราณตามแนวชายฝั่ง และ ป่าฝนพื้นเมือง ที่นี่มีจุดเด่น / กิจกรรมมากมายย หัวๆก็คือ สะพานแขวน (The Suspension Bridge) ทอดข้ามปากแม่น้ำ Storms (Storms River Mouth) ไฮไลต์คือการเดินบนสะพานชมวิวหุบเขาและคลื่นทะเลที่ปะทะกับโขดหิน / กระโดดบันจี้จัมพ์จาก Bloukrans Bridge สะพานบันจี้จัมพ์เชิงพาณิชย์ที่สูงที่สุดในโลก! / เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินป่าชื่อดังระดับโลกอย่าง Otter Trail (เส้นทางหลายวัน) + มีเส้นทางเดินระยะสั้น (Short Walks) สำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป / กิจกรรมทางน้ำ; พายเรือคายัคเข้าไปในหุบผาชันของ Storms River Mouth หรือ ดำน้ำตื้น (Snorkeling) เพื่อชมชีวิตใต้ทะเลก็ทำได้ / มีจุดตั้งแคมป์และกระท่อมที่พัก ดำเนินการโดย SanParks (หน่วยงานอุทยานแห่งชาติแอฟริกาใต้) ที่จะได้ชมวิวทะเลที่สวยงามวิจิตรฮะ


เสริมกันอีกหน่อยว่าจากข้างบนเราจะเห็นชื่ออุทยานหนึ่ง ที่เหมือนกับคำนิยามของภูมิภาคเลย คือ Garden Route National Park แต่ตัวมันมีความเกี่ยวข้องกันไหมนะ?


เกี่ยวข้องกันอย่างจังฮะ เพราะ Garden Route National Park เป็นอุทยานที่ตั้งขึ้นใหม่ในปี 2009 โดยรวม 3 เขตเดิมเข้าเป็นอันเดียวกันคือ

1.Tsitsikamma National Park
2.Wilderness National Park
3.Knysna Lakes Area


ทั้งหมดนี้อยู่ภายในภูมิภาค Garden Route ก็จริง แต่ไม่ได้ครอบคลุมทั้งเส้น N2 ตั้งแต่ต้นจนจบฮะ แต่ก็ถือว่าเป็นหัวใจของธรรมชาติ Garden Route เหมือนเป็นการรวมดาวเด่นทางธรรมชาติมาไว้ในที่เดียวหล่ะนะ


อีกหนึ่งขยัก...ถ้าเรา search ภาพ หรือแม้แต่ตัวชื่อ Garden Route เอง บางคนอาจจะมีคำถามว่าเป็นถนนที่มีดอกไม้เยอะหรืออย่างไร (พี่บิ๊กฟุตก็สงสัยในตอนแรก ฮ่าๆ) ซึ่งจริงๆแล้วตามทางจะมีเจ้า fynbos หรือคือพืชพื้นเมืองของแอฟริกาใต้ ลักษณะเป็นพุ่มไม้ ดอกไม้ป่า โดยดอกของ fynbos เอง + ดอก vygie + ericas หรือสายพันธุ์อื่น จะบานในช่วงแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ และไม่ได้บานกันทั้งถนนแต่อย่างใดฮะ แค่เป็นหย่อมๆ ช่วงๆ เพียงเท่านั้น ปล.บานเยอะในช่วง กันยายน - พฤศจิกายน (ฤดูใบไม้ผลิ) / ส่วนจังหวัด Western Cape จะบานก่อนในช่วง สิงหาคม - กันยายน (บางพื้นที่เริ่มตั้งแต่ กรกฎาคม เลยนะ)


สรุปสุดท้าย สาเหตุที่ทำให้ Garden Route ครองใจสาย Road Trip จนโหวตกันถล่มทลาย เพราะมันเป็น 1 ในถนนไม่กี่แห่งของโลก ที่มี ป่า + มหาสมุทร + ทะเลสาบ + fynbos + ภูเขา อยู่ติดกัน แถมมีสัตว์ป่าหลากหลาย ทั้งวาฬ โลมา นกกว่า 280 สายพันธุ์ etc...ผนวกกับอุทยานระดับโลกอย่าง Tsitsikamma ที่มีกิจกรรม adventure ดังๆมากมาย...คริติคอลกันไปอีกกับถนน N2 ที่วิ่งง่าย ปลอดภัย เหมาะกับการ road trip เพราะปั๊มน้ำมันมีเรื่อย ๆ, มีที่พักตลอดทาง, ถนนดี, และวิวจะเปลี่ยนกันทุก 20-40 km เลยนะ


พอเข้าใจมากขึ้นๆ พี่บิ๊กฟุตก็เลื่อมใสกับ John Paterson ที่คิดคำสั้นๆ แต่มากด้วยความหมายอย่าง Garden Route มากมายฮะ Respect!! 


อ้างอิง:

https://www.southafrica.net/gl/en/travel/article/discover-the-garden-route-1

https://www.veenaworld.com/blog/why-is-it-called-the-garden-route-in-south-africa

https://www.theherald.co.za/lifestyle/leisure/2025-08-16-garden-route-its-time-for-one-of-the-greatest-flower-shows-on-earth/

https://southafrica.co.za/spring-flowers-western-cape.html

https://www.rome2rio.com/s/Nearby-Airports/Garden-Route


---------------------------------------------------------


วิธีเดินทางมาฮับบ


1.George Airport (GRJ) เป็นสนามบินหลักเพราะอยู่ใกล้สุดๆ บินมาลง GRJ - เช่ารถ - แล้วขับต่อไปจุดต่าง ๆ ของ Garden Route เช่น Knysna, Plettenberg Bay, Wilderness, และ Mossel Bay ได้เลย shuttle bus ก็มีให้บริการระหว่าง GRJ ไปจุดเหล่านี้ด้วยฮะ

2.Cape Town International Airport (CPT) ลงเมืองใหญ่ของแอฟริกาใต้ แล้วเช่ารถขับไป 485 km ~5 ชม.

3.Port Elizabeth Airport (PLZ)(ปัจจุบันชื่อ Gqeberha) ขับประมาณ 268 km / ราว 3 ชม. ถึง Knysna ในเส้นทางฮะ

4.รถบัสประจำทาง

- BazBus
(hop-on / hop-of *ขึ้นลงได้ไม่จำกัด ตามจุดจอด) สามารถจองจุดขึ้นและลงตามเมืองต่าง ๆ บนเส้นทาง Garden Route (Cape Town <-> Garden Route) ได้เลย และไม่ยากฮะ

- InterCape Coaches
ให้บริการรถโค้ชระหว่างเมืองใหญ่ผ่าน Garden Route เช่น Cape Town -> Garden Route

- Garden Route Express Shuttle
บริการรับระหว่าง George Airport และเมืองหลักของ Garden Route (Ex.Knysna, Plettenberg Bay, Mossel Bay, Wilderness) มีราอบถี่ และสะดวกไม่แพ้กันนะ

- PE Shuttle / Garden Route Express
เส้น Port Elizabeth -> Plettenberg Bay -> Knysna มีรอบ shuttle 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (*วันจันทร์, พุธ, และ ศุกร์) เชื่อมระหว่าง Port Elizabeth Airport และ Garden Route เมืองต่าง ๆ


อ้างอิง:

https://gardenrouteunearthed.co.za/getting-there/

https://greyhound.co.za/bus-tickets/cape-town-to-knysna/

https://www.gardenrouteshuttle.co.za/





ภาพ Great Ocean Road (Photo by the Archive Team, 500px / Wikimedia Commons, CC BY 3.0)

1.Great Ocean Road, Australia



อีกหนึ่งในเส้นทางขับรถชมวิวชายฝั่งที่โด่งดังที่สุดในโลก อยู่ในรัฐวิกตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1919-1932 จุดประสงค์แรกเริ่มเพื่อสดุดีถึงเหล่าทหารกล้าของรัฐวิกตอเรียที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (WWI) และถูกสร้างโดยทหารผ่านศึกที่กลับมาจากสงครามจริง ๆ ทำให้เกิดการจ้างงาน และช่วยลดปัญหาการว่างงานในช่วงหลังสงครามไปด้วยฮะ


ความยาวรวมประมาณ 243 km เริ่มต้นจากเมือง Torquay (ทอร์คีย์) ไปสิ้นสุดที่เมือง Allansford (อัลลานส์ฟอร์ด) ที่อยู่ใกล้กันกับเมือง Warrnambool ส่วนเหตุผลที่ทำให้ Great Ocean Road (GOR) ติด Top Scenic Drive ของโลกเพราะมีเส้นทางชิดทะเลมากที่สุดเส้นหนึ่งในโลก รถจะวิ่งขนานริมหน้าผาตลอดหลายสิบกิโล ตรงกับช่วงเมือง Anglesea - Lorne - Apollo Bay ซึ่งเป็นจุดที่คนยกให้สวยที่สุดของเส้นทางเหมือกันฮะ แถมเค้ายังบอกกันว่าเป็นการขับแบบ unobstructed หรือ ไม่มีอะไรมาบดบังสายตา ชมวิวทะเล Southern Ocean กันได้แบบจัง ๆ


เหตุผลไม่ได้มีข้อเดียวแน่นอนฮับกับการจะอยู่ติด top ได้ ของ GOR จะแอบมีความคล้ายคลึงนิด ๆ กับ Garden Route ของแอฟริกาใต้ตรงมีธรรมชาติที่หลากหลาย จะได้เจอทั้งผาหิน, ชายหาด, ป่าฝน, น้ำตก, เมืองชายทะเล, สัตว์ป่าเอกลักษณ์อย่าง Koala, จิงโจ้, รวมถึง Glow worm (หนอนเรืองแสง) + กับถนนคุณภาพดี มีเมืองเล็ก ๆ ตลอดทาง แวะพักผ่อนได้ง่ายหากเหนื่อยล้าฮะ เหมาะกับทั้ง day trip 2-3 วัน หรือ road trip ยาวรวดเดียวไปเช้า - เย็นกลับ


ลืมอีกเหตุผลสำคัญไปตอนเล่าประวัติการก่อสร้างฮะะ เส้น GOR ถือเป็นหนึ่งใน War Memorial Road ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน เพราะตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อเป็น อนุสรณ์สถานสงครามที่ยาวที่สุดในโลก (World's Largest War Memorial) พอผนวกเข้ากับย่อหน้าที่ 1 ทำให้ตัวมันเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ไปโดยปริยาย แถมยังเป็นเหมือนจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของคนทั้งชาติไปในตัวฮะ


มาถึงไฮไลต์ติดดาวของ Great Ocean Road แบบลิสต์มาอย่างใส่ใจจ


- Twelve Apostles

ถ้าแปลเป็นไทย ถูกใจพี่บิ๊กฟุตอย่างมาก ได้ว่า 12 อัครสาวก (emoji) เป็นกลุ่มเสาหินปูนที่ตั้งตระหง่านกลางทะเล (เกิดจากการกัดเซาะของคลื่น) เป็นสัญลักษณ์อันดับ 1 ของ GOR ก็ว่าได้ฮะ วิวพระอาทิตย์ตกสวยมากมายนะ (หนึ่งใน sunset ที่สวยที่สุดของออสเตรเลีย!)

- Loch Ard Gorge

จุดชมวิวช่องหน้าผาแคบ ๆ ที่มีประวัติศาสตร์การอับปางของเรือ Loch Ard ในปี ค.ศ. 1878 เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเดินสำรวจ

- Gibson Steps

เดินลงไปชายหาด กับมุมถ่ายรูปอลังการ

- London Bridge (London Arch) / The Grotto

หินโค้งริมทะเลที่เกิดจากการกัดเซาะ ดังสุด ๆ ในอินสตาแกรมฮะ

- Torquay

จุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของเส้น GOR (ฝั่งตะวันออก) เป็นเมือง hub แห่งการโต้คลื่น มี Bells Beach (สนามแข่งโต้คลื่น Rip Curl Pro)

- เมือง Lorne และ Apollo Bay

เมืองพักตากอากาศริมทะเล บรรยากาศสบาย ๆ ชายหาดสวย คาเฟ่ดี เป็นจุดแวะพักค้างคืนยอดนิยม

- Great Otway National Park

ป่าฝนที่มีทางเดิน Redwood Forest มีต้นเฟิร์นยักษ์สูง 60-80 เมตร! และน้ำตกใหญ่อย่าง Erskine Falls, Hopetoun Falls, Beauchamp Falls กับโอกาสอันดีที่จะมีโอกาสพบ โคอาลา (Koalas) ได้ในป่าธรรมชาติฮะ (โดยเฉพาะใกล้ Cape Otway Lightstation)

- Wildlife

อีกแหล่ง Koala ที่เจอเยอะมากที่ Kennett River / น้องจิงโจ้ที่จะพบได้ตามสนามกอล์ฟ Anglesea / และน้องหนอนเรืองแสง Glow worms ที่ Melba Gully

- Hiking ระยะสั้น

อาทิ Great Ocean Walk (100+ km สั้นกี่โมงกันนะ55 ปล.อันนี้คือระยะไกลฮะ ขออภัย emoji), Maits Rest Rainforest Walk (800 m - 1 km), และ Hopetoun Falls Walk (1 km)


ถ้าให้จิ้มเลือกแบบคนเวลาน้อย รีบแวะ รีบไป ต้องเลือกที่ใดที่นึง เค้าเคาะกันมาให้เป็น Twelve Apostles, Loch Ard Gorge, Gibson Steps, และ Otway Rainforest หล่ะนะ แต่เวลาที่แนะนำจริง ๆ คือ 2 วัน 1 คืน = เที่ยวแบบเรื่อยๆ (พักที่ Apollo Bay)แต่ถ้าต้องการเติมป่า เติมน้ำตก = 3 วัน 2 คืนDay Trip ไปกลับจะไม่ค่อยแนะนำฮะ


ต่อเนื่องกับวิธีการไป GOR ให้ครบจบไปเลยนะะ ลงสนามบินไหนได้บ้างง


1.Melbourne Airport (MEL) คือสนามบินหลักฮะ
จาก Melbourne -> Torquay = ประมาณ 105 km ~1.5 ชม.
จาก Melbourne -> Twelve Apostles =  ประมาณ 230 km ~3-3.5 ชม.

2.Avalon Airport (AVV) เป็น second option กรณีเช่ารถจากทางตะวันตกฮะ จะอยู่ใกล้เมือง Torquay มากกว่า แถมยังรองรับเที่ยวบินภายในประเทศ และระหว่างประเทศบางสายด้วยนะ // จาก AVV -> Torquay = ประมาณ 49 km ~35 นาที


ทั้งนี้ เช่ารถขับ ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดฮะ เพราะรถบัสสาธารณะไม่ได้มีรอบบ่อย และใช้เวลานาน แวะชมแต่ละจุดในเส้นได้จำกัดหรือต้องรีบ ดังฉะนั้น ผู้ที่ไม่มีรถ = ทัวร์เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าฮะ


*option ทัวร์ และ รถบัส / รถไฟ เพิ่มเติมม


- นั่งรถไฟจากสถานี Southern Cross (Melbourne) ไปยัง Geelong หรือ Warrnambool แล้วต่อรถบัสประจำทาง (Coach Bus) ที่เชื่อมต่อจากสถานีรถไฟใหญ่ไปเมืองชายฝั่งเล็ก ๆ ตามเส้นทาง GOR เช่น Lorne และ Apollo Bay ได้ฮะ

- บัสท้องถิ่น V/Line Bus (รัฐวิกตอเรีย) จาก Melbourne <-> Apollo Bay / Apollo Bay Port Campbell แต่จะมีข้อจำกัดตรงมีรอบที่น้อยมากก 1-2 รอบ/วัน เท่านั้นฮะ

- ทัวร์วันเดียว (Day Trip) มีให้เลือกมากมายจากเมือง Melbourne ที่จะพาไปทั้ง Twelve Apostles - Loch Ard Gorge - Otway Rainforest แต่จะเหนื่อยหน่อย และแวะได้ไม่นานนักฮับ


ถึงบทส่งท้ายเจ้า GOR กันแล้วว จริงๆจะบอกว่าลืมบอกที่มาของชื่อกันอีกแล้วหล่ะ55 เริ่มขี้ลืมบ่อย ๆ ซะแล้วฮะ โปรดอภัยกันด้วย...Great Ocean Road = ถนนที่วิ่งคู่ขนานกับ มหาสมุทร Great Southern Ocean ก็คือที่มากันง่ายๆ และสวยงามแบบนี้เลยนั่นเอง ถ้าอยากเห็นภาพรวมของออสเตรเลียใน trip เดียว มาวิ่งเส้น GOR รูทเดียว จะได้ภาพรวม landscape ของทั้งประเทศอยู่หลังพวงมาลัย และสายตาของเราเป็นพยานกันแบบครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็ว่าได้ฮะ เป็นอีกหนึ่ง Great Road แบบที่เห็นได้ยาก ที่จะหลุดจากลิสต์ของ Most scenic drives in the world นะะ!


อ้างอิง:

https://www.dcceew.gov.au/parks-heritage/heritage/places/national/great-ocean-road

https://www.visitvictoria.com/regions/great-ocean-road

https://wildlifetours.com.au/blog/great-ocean-road/history/

https://visitgreatoceanroad.org.au/

https://www.vline.com.au/


---------------------------------------------------------

ข้อมูล ถนนที่สวยที่สุดในโลก อ้างอิงเบื้องต้นจาก 8 แหล่งนี้ มาทำสถิติดูเบื้องต้นว่ามีการโหวตให้ที่ไหนซ้ำกันมากที่สุด 10 อันดับแรกฮะ


ปล.จริงๆอีกหลาย source ที่ research ไปมากกว่านี้ จะบอกคล้ายๆกันอยู่ฮะ และมีที่เพิ่มเติมแตกต่างออกไปบ้าง แต่ก็สวยทั้งหมดเลยนะ ถ้าท่านใดสนใจเรื่องเส้นทาง top scenic drives worldwide แนะนำลองศึกษา และ search กันดูเพิ่มเติมได้อีกมากมายฮะ ถนนในโลกเรามีสวย ๆ อีกเพียบบบ


อ้างอิง:

- The worlds most scenic drives for your next road trip (29 April 2024)

https://www.travellocal.com/en/articles/the-worlds-most-scenic-drives-for-your-next-road-trip

- Exit to the worlds most scenic drives ahead (23 June 2025)

https://expatexplore.com/blog/worlds-most-scenic-drives

- 25 Incredibly Scenic Drives & Most Beautiful Roads in the World (9 Sep 2025)

https://fullsuitcase.com/best-scenic-roads-worldwide/

- What are the most beautiful scenic drives in the world? (2022)

https://www.reddit.com/r/travel/comments/118p1h7/what_are_the_most_beautiful_scenic_drives_in_the/

- The Most Scenic and Thrilling Driving Routes in the World - Top 10 Bucket List Roads (18 Feb 2025)

https://www.activitysuperstore.com/blog/the-most-scenic-and-thrilling-driving-routes-in-the-world-top-10-bucket-list-roads?srsltid=AfmBOooBh-Gcz8udc4M6FUbY0Od4dbLjZBvu92a_4J9Z2-mFuCDuq-8Y

- The 11 Best Road Trips in the World (Updated: 5 Feb 2025)

https://www.outsideonline.com/adventure-travel/advice/best-road-trips-in-the-world/

- 15 ROADS with BREATHTAKING Views (22 May 2024)

https://www.youtube.com/watch?v=IZrBi_Ip440

- DRIVING PLEASURE GUARANTEED, The most beautiful roads in the world (18 May 2018)

https://www.bmw-m.com/en/topics/magazine-article-pool/most-beautiful-roads-in-the-world.html




พี่ตีนโต
พี่ตีนโต
หนึ่งในสมาชิก Order ผู้มีบุคลิกแฝง รักในการเขียน มากกว่าการขาย (ซะอย่างงั้น >.<)
บทความที่เกี่ยวข้อง
ปราสาทแดร็กคูล่า โรมาเนีย
ตำนานแดร็กคูล่า แวมไพร์ และเรื่องเล่าของปราสาทแห่งหนึ่งในโรมาเนีย...ที่เคยมีคนไปนอนในโรงศพใต้ดินมาแล้ว บรึ่ย~ เรามาร่วมหาคำตอบไปด้วยกันว่ามีปีศาจร้ายอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆหรือไม่!
พี่ตีนโต พี่ตีนโต
22 มิ.ย. 2025
ร้านไอศกรีมซานฟรานซิสโก
ตามรอย Swensen’s ต้นฉบับแห่งแรกของโลกกันเถอะ เปิดให้บริการใจกลางซานฟรานซิสโกมาตั้งแต่ปี 1948 ร้านไอศกรีมในตำนานที่หลายคนไม่เคยรู้ว่ามีอยู่จริง
พี่ตีนโต พี่ตีนโต
24 พ.ค. 2025
4 สังเวชนียสถาน
เส้นทางตามรอยพระพุธเจ้าที่พุทธศาสนิกชนหลายท่านน่าจะอยากไปสักครั้งในชีวิต เราขอแชร์ข้อมูลในมุมมองฝั่งพี่ตีนโตถึงเรื่องการเตรียมตัวเบื้องต้น และสถานที่แนะนำที่ควรไปกันฮับ
พี่ตีนโต พี่ตีนโต
2 พ.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy